BCG Model การวิเคราะห์ลักษณะของธุรกิจ โดย Boston Consulting Group
BCG-Model
เป็นรูปแบบการวิเคราะห์สภาพตำแหน่งทางธุรกิจ
หรือ ผลิตภัณฑ์ ที่ค้นคว้าวิจัยโดย Boston Consulting Group
(BCG) อธิบายสถานะของธุรกิจหรือ ผลิตภัณฑ์ได้ออกเป็น4สถานะคือ Star(ดาวรุ่ง),Cash Cow(แม่วัวเงินสด),Question Mark(คำถามจะรุ่งหรือเจ๊ง),Dog(หมาแก่ที่ล่วงโรย)
แกนตั้ง คือ
Business Growth Rate คือ อัตราการเติบโตของธุรกิจนั้น(เทียบกันในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน)
ดูจากการเติบโตของยอดขายปีนี้เทียบกับปีที่แล้ว(%)
ต.ย. หา
Growth Rate (SALES) Plot แกน Y
Company Y2006 Y2005 Delta(%)
A 1000 800 (1000-800)/1000 = 20%
Company Y2006 Y2005 Delta(%)
A 1000 800 (1000-800)/1000 = 20%
แกนนอน คือRelative
Position(Market Share) คือ ส่วนแบ่งตลาดที่เทียบโดยวิธีสัมพัทธ์(Relative)
ต.ย.
เช่นในตลาดมีคู่แข่งโดยรวม3ราย เทียบยอดขายแต่ละรายกับยอดขายโดยรวมของทั้งตลาดเป็น%
แล้วนำ%ของแต่ละรายมาเทียบกับกับรายที่เป็นผู้นำ(คือRelative)
(หมายเหตุ
: ยอดขายสามารถวิเคราะห์หาได้จากงบกำไรขาดทุนของแต่ละบริษัท)
นำมาหา
Relative Market share (Plot แกน X)
Relative Market share
company Y2006
Market Share Relative Market
A
40% =
40/40 =1
B
35% =
35/40 =0.875
C
25% =
25/40 =0.625
รวม
(A+B+C) 100%
นำมา
Plot graph X and Y (Maketing Growth Rate and Relative market Share) บริษัทเราตกอยู่ Zone ไหน?
คำอธิบาย
Star(ดาวรุ่ง)
: High Growth , High Market Share
ธุรกิจ หรือ
ผลิตภัณฑ์ ที่อยู่ในโซนนี้ กล่าวคือธุรกิจอยู่ในสภาพที่มีอัตราการเติบโตสูง(กราฟการเติบโตพุ่งสูงชัน)
และ ตนเองมี %ส่วนแบ่งตลาดมาก แสดงว่าค่อนข้างจะเป็นผู้นำตลาด
ธุรกิจต้องใช้เงินในการทุ่มลงในธุรกิจสูงมากเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดที่สูง และต้องขยายงานมาก
ลงทุนมาก แม้ว่าธุรกิจจะสามารถสร้างรายได้
ได้มากก็ตาม แต่ก็ยังต้องลงทุนสูงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นกำไรที่เหลือของธุรกิจในโซนนี้ยังคงไม่มาก
แต่ถือว่ากำลังเป็นดาวรุ่ง
Cash Cows(แม่วัวเงินสด)
: Low Growth , High Market Share
ธุรกิจ หรือ
ผลิตภัณฑ์ ที่อยู่ในโซนนี้ กล่าวคือธุรกิจอยู่ในช่วงที่
อัตราการเติบโตของยอดขายเริ่มนิ่ง( Low Growth) (ตลาดเริ่มอิ่มตัว)
แต่ตนเองยังมี %ส่วนแบ่งตลาดที่สูง
ธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้เงินในการทุ่มลงในธุรกิจสูงมากอีกแล้ว (เพราะใช้ในช่วงStarลงไปมากแล้ว) ธุรกิจยังคงสร้างรายได้ ได้มาก ในขณะที่ไม่ต้องลงทุนเพื่อการขยายงานมากอีกแล้ว
ดังนั้นกำไรที่เหลือของธุรกิจในโซนนี้จะเหลือมาก เรียกว่าเป็นแม่วัวที่ให้เงินสด
ควรรักษาธุรกิจให้อยู่ในสภาพแบบนี้ให้นานที่สุด
Dogs(หมาแก่)
: Low Growth , Low Market Share
ธุรกิจ หรือ
ผลิตภัณฑ์ ที่อยู่ในโซนนี้ กล่าวคือธุรกิจอยู่ในช่วงที่อัตราการเติบโตของยอดขายต่ำ
และ ตนเองมี %ส่วนแบ่งตลาดน้อย ซึ่งกล่าวอีกนัยคือตลาดก็ไม่โตแล้ว
ยอดขายเราก็น้อย ธุรกิจที่อยู่ในช่วงนี้ จึงอาจเรียกว่าอยู่ในช่วงโรยลา ไม่สามารถทำเงินได้มากอีกแล้ว อาจต้องตัดใจขายทิ้งเพื่อไม่ให้เป็นภาระ หรือหากจะปรับปรุงให้ฟื้น
จะต้องใช้เงินลงทุนอีกมาก จึงควรหลีกเลี่ยงอย่าให้ธุรกิจเดินมาจนเกิดภาวะเช่นนี้
Question Mark : High Growth
, Low Market Share
ธุรกิจ หรือ
ผลิตภัณฑ์ ที่อยู่ในโซนนี้ กล่าวคือธุรกิจอยู่ในช่วงที่อัตราการเติบโตของตลาดสูง
แต่ตนเองมี %ส่วนแบ่งตลาดต่ำ ธุรกิจในช่วงนี้ต้องใช้เงินในการทุ่มลงในธุรกิจสูงมากเพื่อสร้างMarket
Shareให้สูงขึ้น เป็นช่วงที่ธุรกิจต้องใช้เงินมากเพื่อขยายงาน แต่มีรายได้กลับคืนมาไม่เพียงพอ และมีความเสี่ยงหากใช้เงินลงทุนมาก
จนทำสำเร็จจะเป็นStar และเป็นCash Cowsต่อไป
แต่หากลงทุนมากแล้วยังสู้ผู้นำตลาดไม่ได้ อาจถึงขั้นขาดทุน(เจ๊งเลย
ไม่ใช่กลายมาเป็นDogนะเพราะตลาดยังHigh Growthอยู่ แต่เราลงทุนมากเกินไปรายรับมีไม่พอ จึงขาดทุน) จึงอาจเป็นช่วงคำถามว่าจะไปต่อ(รุ่ง)หรือขาดทุน(เจ๊ง)
จากแผนภาพจะเห็นว่า
หากเราใช้เกณฑ์ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนแบ่งตลาด (Market
share) ของผลิตภัณฑ์ชนิดใดชนิดหนึ่งกับอัตราการเติบโตทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ชนิดนั้น
เราสามารถแบ่งผลิตภัณฑ์ออกได้เป็น 4 กลุ่มภายใต้ชื่อดังต่อไปนี้
Question mark หรือผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ยังไม่มีความแน่นอน
แม้อัตราการเติบโตของตลาดจะอยู่ในระดับสูง แต่สินค้าที่เป็นตรายี่ห้อของกิจการ
ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดน้อยมาก จำเป็นต้องวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ในการเจาะตลาด
หากพิจารณาแล้ว เห็นว่าสินค้าดังกล่าวมีศักยภาพที่จะลงทุนทางการตลาดให้เป็นที่ยอมรับของตลาดได้
ธุรกิจก็ควรพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้นต่อไป แต่ต้องใช้ทรัพยากรค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม
หากพิจารณาพบว่าไม่สามารถต่อกรกับผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งที่มีอยู่ในท้องตลาดได้บริษัทมีทางเลือกที่จะยกเลิกผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้
Star หรือผลิตภัณฑ์กลุ่มดาวรุ่ง ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะอยู่ในตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่าร้อยละ
10 และบริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนแบ่งตลาด
อยู่ในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทั้งนี้อาจจะสืบเนื่องมาจากเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่บริษัทเป็นผู้บุกเบิกหรือผลิตภัณฑ์อยู่ในตลาดแข่งขันน้อยราย
อย่างไรก็ตามหากผลิตภัณฑ์อยู่ในกลุ่มนี้ธุรกิจ
ต้องตัดสินใจขยายผลิตภัณฑ์ในลักษณะของการเพิ่มความหลากหลาย การเพิ่มปริมาณการผลิตให้เพียงพอ
การขยายช่องทางการจำหน่ายไปสู่ลูกค้าที่เริ่มทยอยเข้ามาซื้อสินค้า
Cash Cow หรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำเงิน ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้รักษาความเป็นผู้มีส่วนแบ่งตลาดสูงมาได้ระยะเวลาหนึ่ง
มีการลงทุนในด้านต่างๆ จนสร้างการยอมรับแก่ผู้บริโภค หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือลุกค้าส่วนใหญ่ได้ซื้อหรือใช้บริการกันแล้วอัตราการเติบโตของตลาดจะไม่สูง
โดยปกติจะต่ำกว่าร้อยละ 10 ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะสร้างกำไรให้กับธุรกิจค่อนข้างมาก
เนื่องจากต้นทุนการผลิตต่ำลง อันเนื่องมาจากการผลิตจำนวนมาก (Mass
Production) เจ้าของผลิตภัณฑ์จะต้องพยายามรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ให้ดีที่สุด
เนื่องจากคู่แข่งขันแต่ละรายพยายามช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด จากผู้นำทางการตลาด
Dog หรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่อ่อนล้า ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตของตลาดต่ำ
และเจ้าของผลิตภัณฑ์มีส่วนแบ่งตลาดต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำในตลาด ดังนั้นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ถือว่าแย่ที่สุด
เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ อย่างไรก็ตามบริษัทสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ในช่วงท้ายได้บ้างจากกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าในช่วงหลัง
อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่มนี้ มักจะถูกตัดทอนออกจากตลาด เนื่องจากไม่สามารถทนกับความล้าสมัย
และภาวการณ์การขาดทุนได้
การเพิ่มลดผลิตภัณฑ์
(Product Adding)
1. แสดงการเติบโตของกิจการ การเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
เข้าสู่ตลาด หรือเข้าสู่สายผลิตภัณฑ์ของกิจการนั้น
ทำให้บริษัทต้องมีการลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องแสวงหาเงินลงทุนจากแหล่งต่างๆ การจำหน่ายหุ้นเป็นวิธีการหนึ่งที่ธุรกิจจำนวนมากเลือกใช้
ซึ่งการมีจำนวนหุ้นมากขึ้น แสดงถึงการเติบโตของกิจการ อย่างไรก็ตามการเพิ่มผลิตภัณฑ์จะต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ทางการตลาด
โอกาสของกำไรจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้วย
2. บริษัทยังใช้กำลังการผลิตไม่เต็มที่ การใช้กำลังการผลิตให้เต็มที่จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง
ดังนั้นการเพิ่มจำนวนรายการสินค้า ที่สามารถใช้สายการผลิตเดิมได้ จึงเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับธุรกิจ
อย่างไรก็ตามจะต้องมองความต้องการของตลาดเป็นสำคัญ
3. ความสามารถในการใช้ชื่อเสียงเดิมคุ้มครองผลิตภัณฑ์ที่เพิ่ม
เมื่อบริษัทได้รับการยอมรับจากลุกค้าอันเนื่องมาจากการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าใดตราสินค้าหนึ่ง
ดังนั้นการเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าเดิม ที่มีระดับคุณภาพเหมือนเดิมจึงเป็นสิ่งที่มีความเหมาะสม
เพราะถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่เป็นแนวทางในการดำเนินการของธุรกิจหลายๆ แห่งที่ผ่านมา
ซึ่งส่วนใหญ่จะพบกับความสำเร็จทางการตลาด เช่นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ไนกี้ อาดิดาส
โตโยต้า เป็นต้น
4. ความสามารถในการใช้ประโยชน์จากช่องทางการจัดจำหน่าย การนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ช่องทางการจำหน่ายเดิมมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง
ทั้งนี้เพราะโอกาสในการสร้างการรับรู้จะรวดเร็วกว่า สามารถวางจำหน่ายควบคู่กับผลิตภัณฑ์เดิมได้
รวมทั้งเกิดความประหยัดในการขนส่ง ทั้งนี้เพราะใช้การขนส่งในครั้งเดียวกันได้
5. การตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของตลาด ปัจจุบันความต้องการของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
หากบริษัทไม่มีการเพิ่มผลิตภัณฑ์เดิมที่เคยได้รับการยอมรับจากตลาด อาจจะนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการสูญเสียโอกาสทางการตลาดได้
เพราะฉะนั้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า หรือสถานการณ์ทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ
การยกเลิกผลิตภัณฑ์ (Product
Deleting) การปล่อยผลิตภัณฑ์ลงสู่ตลาดภายใต้ระยะเวลาหนึ่ง จะสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
โดยปกติผลิตภัณฑ์ที่สามารถผ่านขั้นแนะนำ (Introduction) ไปได้จะมีอนาคตที่สดใส
เพียงแต่ระยะเวลาของการอยู่ในช่วงต่อไปนั้นไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อาทิ
ปริมาณคู่แข่งขันในตลาด ประเภทของสินค้า การทำตลาดของผู้ผลิต เป็นต้น สิ่งที่ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนภัยให้กิจการล่วงรู้ว่าควรจะยกเลิกผลิตภัณฑ์ใดๆ
นั้น น่าจะพิจารณาได้จากปัจจัยดังต่อไปนี้1. การลดลงของยอดขายอย่างต่อเนื่อง หากรายงานการขายของผลิตภัณฑ์ตัวใดตัวหนึ่งแสดงให้เห็นถึงการลดอย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาแล้ว พบว่าเกิดจากตัวผลิตภัณฑ์นั้นๆ ย่อมเป็นเหตุผลของการยกเลิกผลิตภัณฑ์ได้
2. ระดับกำไรที่ได้รับลดลงต่ำกว่ามาตรฐาน อันอาจจะเนื่องมาจากกิจการต้องลดราคาเพื่อให้สามารถจำหน่ายได้ หรือมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
3. การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการผลิตภัณฑ์น้อยลง การออกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการงดบริโภคผลิตภัณฑ์ที่กิจการกำลังจำหน่าย จำนวนเด็กเกิดใหม่มีอัตราลดลงอย่างชัดเจน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการในผลิตภัณฑ์อย่างแน่นอน
4. ผลิตภัณฑ์มีข้อบกพร่อง หรือเกิดความผิดพลาดในการผลิตจนไม่สามารถแก้ไขได้ จำเป็นจะต้องนำผลิตภัณฑ์นั้นออกจากตลาด เพราะมีแต่จะทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทตกต่ำลง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์อื่นของกิจการด้วย
5. ความล้าสมัยของผลิตภัณฑ์ อันอาจะเกิดความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า เช่น การยกเลิกผลิตโทรศัพท์จอขาวดำ เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น